วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พรหมสี่หน้า วิชาครู

    หากจะกล่าวถึงวิชาชั้นสูงในสมัยโบราณที่เป็นมรดกตกทอดมายังปัจจุบันแล้ว วิชาพรหมสี่หน้าก็ถือเป็นหนึ่งในวิชาเอกที่สืบต่อกันมาด้วยเช่นกันซึ่งวิชาที่ว่านี้ไม่ได้มีการพูดกันลอยๆ แต่มีหลักฐานการสืบวิชามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วเลยทีเดียวเชียวครับ

    จากหลักฐานและพงศาวดารต่างๆ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในสมัยกรุงศรีอยุธยาสืบต่อมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์จะมีการทำผ้ายันต์พรหมสี่หน้าขนาดใหญ่ดาดไว้บนห้องนอนหรือบริเวณเตียงนอนเพื่อความเป็นสิริมงคลหรือเพื่อแก้อาถรรพณ์ต่างๆ

    นอกจากในราชสำนักแล้วบรรดาครูบาอาจารย์หรือพระเกจิอาจารย์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายวัดประดู่โรงธรรมได้เห็นความสำคัญและอุปเท่ห์ในวิชายันต์พรหมสี่หน้านี้จึงได้มีการคิดหรือทำเครื่องราง วัตถุมงคลรูปพรหมสี่หน้าขึ้นเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาได้บูชาติดตัวเพื่อความเป็นมงคล

    กล่าวถึงพระยันต์พรหมสี่หน้านี้เป็นพระยันต์ที่มีลักษณะค่อนข้างซับซ้อนกว่ายันต์ทั่วๆ ไปโดยเส้นยันต์ที่ถือเป็นเส้นกรอบนั้นจะมีเส้นถึงสองเส้น อีกทั้งแต่ละมุมของยันต์จะมีรูปเศียรพรหมอยู่สี่มุมดังนั้นจึงได้ชื่อว่ายันต์พรหมสี่หน้า

ยันต์พรหมสี่หน้านี้ทางโบราณคณาจารย์ได้ระบุเอาไว้ว่าถ้าลงในแผ่นโลหะเพื่อทำตะกรุดจะเป็นเมตตามหานิยมคนยำเกรง หากลงในเสื้อผ้าหรือผ้าเช็ดหน้าแล้วพกติดตัวก็จะทำให้เป็นที่นับหน้าถือตารวมถึงรอดพ้นจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง นอกจากนี้หากมีการทำเป็นเหรียญเพื่อห้อยคอก็จะคุ้มครองผู้บูชาให้ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน

    สำหรับเครื่องรางพรหมสี่หน้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดได้แก่พรหมสี่หน้าในสายอยุธยาเช่น พรหมสี่หน้าหลวงปู่สีห์ วัดสะแก พรหมสี่หน้าอาจารย์เฮง ไพรย์วัล และพรหมสี่หน้าในสายวัดประดู่ โดยเครื่องรางพรหมสี่หน้าในสายเหล่านี้จะมีทั้งการสร้างในรูปแบบของเนื้อผง เนื้อดิน เนื้อโลหะรวมไปถึงวัสดุทนสิทธิ์ธรรมชาติอื่นๆ เช่น งาช้างหรือกระดูกช้างเป็นต้น

    แต่อย่างไรก็ตามเครื่องรางของขลังพรหมสี่หน้านั้นไม่ใช่เพียงแค่ว่าลงอักขระยันต์เสร็จก็จะสำเร็จใช้ได้เพราะหากผู้สร้างไม่มีความรู้ในเรื่องของยันต์พรหมสี่หน้าจริงๆ แล้วต่อให้เขียนสวยงามสักเพียงใดเมื่อนำไปใช้ก็ไม่เกิดผล

    ปัจจุบันนี้มีเกจิอาจารย์หลายวัด หลายสำนักด้วยกันที่ออกวัตถุมงคลเครื่องรางพรหมสี่หน้ามาให้ลูกศิษย์ลูกหาได้เช่าบูชาซึ่งก็มีทั้งที่รู้จริงในศาสตร์นี้และจัดสร้างตามค่านิยมตามกาลสมัยโดยที่ผู้เสกไม่มีความรู้ในวิชานี้ ดังนั้นผู้ที่คิดจะเช่าบูชาเครื่องรางของขลังพรหมสี่หน้าจึงควรที่จะตรวจสอบข้อมูลให้ดีเพื่อที่จะได้พรหมสี่หน้าแท้ๆ ไว้บูชา

ป้ายกำกับ:

ตะกรุดมอญสุดขลัง อาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ

ในบรรดาตำรับตำราคาถามอาคมทั้งปวงนั้นว่ากันว่าวิชาในตำรับมอญเป็นวิชาที่ “แรง” และ “เข้มขลัง” มากที่สุดซึ่งสาเหตุที่เชื่อกันเช่นนี้ก็เพราะว่าชาวมอญนั้นไม่มีมีหลักแหล่ง ต้องอาศัยการเดินทางอยู่เสมอๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิชาอาคมที่แข็งแกร่งติดตัวไว้เพื่อที่จะได้สามารถต่อกรกับสิ่งต่างๆ ที่อาจพบเจอได้ และอีกสวนหนึ่งเชื่อกันว่าบรรดาพระเชื้อสายมอญนั้นมักจะเคร่งครัดพระธรรมวินัยมากกว่าพระอื่นๆ ดังนั้นเมื่อท่องบ่นสาธยายมนต์จึงเกิดความขลังมากกว่าปกตินั่นเอง

    ปัจจุบันแม้ว่าพระเชื้อสายมอญหรือชาวมอญผู้มีวิชาจะลดน้อยลงจนทำให้เราพบเห็นเครื่องรางของขลังที่ลงด้วยวิชามอญน้อยตามลงไปด้วยก็ตามทีแต่ก็มีเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งในเชื้อสายมอญที่โด่งดังมากในปัจจุบันและอาจจะกล่าวได้ว่าหาผู้ที่ทำได้ยากแล้วนั่นก็คือ “ตะกรุดมอญ” ของท่านอาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ ฆราวาสอาคมขลังเจ้าของฉายาเข็มทองคะนองฤทธิ์นั่นเองครับ

    ตะกรุดมอญของอาจารย์ประคองนั้นมีชื่อเรียกกันมากมายบ้างก็เรียกตะกรุดมอญเฉยๆ บ้างก็เรียกตะกรุดเสน่ห์มอญรามัญและที่หนักที่สุดและนิยมเรียกกันมากที่สุดในหมู่ของชายเจ้าชู้ลูกศิษย์ลูกหาท่านก็คือตะกรุดปราบเมีย

    สาเหตุที่ตะกรุดมอญได้รับฉายาออกไปในทางเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ เช่นนี้นั้นอาจารย์ประคองท่านเคยได้เมตตาอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังว่าวิชานี้ท่านได้ไปเรียนมากับปู่วร ก้อนใบ ฆราวาสอาคมขลังชาวมอญที่พระประแดงซึ่งปู่วรนั้นท่านเป็นอาจารย์อีกคนหนึ่งของอาจารย์ประคองและได้สอนวิชาตำรับมอญต่างๆ ให้กับอาจารย์ประคองจนหมดสิ้นรวมถึงวิชาตะกรุดเสน่ห์อย่างตะกรุดมอญที่มีฤทธานุภาพขนาดที่ว่าผู้หญิงที่พบหน้าต่างรัก คลั่งไคล้ หลงใหล ใฝ่ถึง คะนึงหาเลยทีเดียว

    สำหรับตะกรุดมอญในยุคแรกนั้นท่านอาจารย์ประคองจะจารตัวอักขระมอญตามสายวิชาลงไปในแผ่นตะกรุดแล้วม้วนจากนั้นนำไปเสกด้วยวิชามอญจนมั่นใจก่อนออกให้ลูกศิษย์ไปใช้ติดตัวบูชา แต่ต่อมาเมื่อตะกรุดมอญมีประสลการณ์ในวงกว้างจนมีผู้มาขอให้ท่านทำมากมายประกอบกับด้วยอายุที่มากขึ้น สายตาไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงได้มีการเปลี่ยนรูปแบบเป็นตะกรุดมอญแบบหล่อขึ้นมาแต่พุทธคุณอิทธิคุณก็ยังเข้มขลังเหมือนเดิม

    ส่วนข้อแนะนำในการใช้ตะกรุดมอญที่อาจารย์ประคองได้บอกกับลูกศิษย์ก็คือเมื่อได้มาให้ร้อยเชือกติดตัวไว้ไม่ต้องเลี่ยมให้ตะกรุดสัมผัสกับร่างกายหรือเนื้อของเราให้มากที่สุดพร้อมกับภาวนาคำว่า “อะระหัง” อยู่เสมอๆ ตลอดเวลา ก็จะช่วยทำให้อานุภาพของตะกรุดมอญมีเพิ่มมากขึ้นส่วนข้อห้ามอื่นๆ นั้นไม่มีครับ

ป้ายกำกับ:

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อิ่งอ้อย หอยนำโชค

    เมื่อพูดถึงเครื่องรางของลังในประเทศไทยของเรานั้นต้องยอมรับกันอยู่อย่างหนึ่งครับมีด้วยกันมากมายหลายอย่าง หลายประเภท ซึ่งบางอย่างเองก็ก็เป็นที่รู้จักกันในแถบท้องถิ่นไม่ได้กระจายมาในส่วนกลางจึงเป็นสาเหตุให้เครื่องรางของขลังเหล่านี้แทบจะไม่เคยเห็นไม่ค่อยได้ยินแต่ก็มีฤทธานุภาพไม่แพ้เครื่องรางอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นเครื่องรางที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้นั่นก็คือ “อิ่งอ้อย หอยนำโชค”

    เมื่อพูดถึง “อินออน” หรือ “อิ่งอ้อย” แล้วเชื่อว่าหลายคนในแถบภาคกลางอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่นักแต่สำหรับคนที่อยู่ในบริเวณภาคอีสานแถบลุ่มแม่น้ำโขงจะรู้จักเครื่องรางชนิดนี้เป็นอย่างดีเพราะบรรดาพระเกจิอาจารย์ทั้งหลายในแถบนั้นมักจะนำอิ่งอ้อยมาเสกหรือมาลงอักขระเรียกเงินเรียกทองให้กับลูกศิษย์ลูกหาเพื่อให้พกติดตัวไปค้าขายหรือทำกิจการก็จะทำให้ค้าขายดีมีเงินทองรวมไปถึงการเสี่ยงโชคหาลาภอีกด้วย


    ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่าอิ่งอ้อยนั้นคืออะไรกันแน่เพราะบรรดาผู้ปรกปลุกเสกเครื่องรางอิ่งอ้อยทั้งหลายมักเรียกเจ้า อิ่งอ้อยนี้ว่าเป็นหอยชนิดหนึ่งที่มีจิตวิญญาณเพราะด้วยสาเหตุที่ว่าหากนำน้ำส้มหรือมะนาว มาบีบราดบนตัวอิ่งออยก็จะทำให้เกิดฟองผุดขึ้นมาอีกทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวได้เองอย่างน่าประหลาดใจดังนั้นจอมขมังเวทย์ด้านเครื่องรางทั้งหลายจึงยกย่องให้อิ่งอ้อยเป็นของทนสิทธิ์ประเภทหนึ่งอีกด้วย

    แต่ถ้าหากมองกันตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วเจ้าอิ่งอ้อยนี้ก็คือตัวฝาปิดเปลือกของหอยในวงศ์สกุลหนึ่งที่มีลักษณะเป็นหินปูนเปลือกหอยซึ่งเมื่อใดก็ตามที่โดนกับของที่มีสภาวะเป็นกรดก็จะเกิดการทำปฏิกิริยากันและทำให้หอยเคลื่อนไหวได้นั่นเองแต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ก็ตามทีแต่ในเรื่องของการเรียกทรัพย์ ทำมาค้าขายดีที่เกิดขึ้นจริงนั้นยังหากสาเหตุมาอธิบายไม่ได้

    อิ่งอ้อยนั้นถูกนำมาใช้สร้างเป็นเครื่องรางของขลังมานานหลายสิบปีแล้วแต่สำหรับในส่วนของภาคกลางเพิ่มจะมีการรู้จักอิ่งอ้อยเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้วมานี้เองโดยผู้ที่นำมาเผยแพร่ให้รู้จักก็คือพระครูพิบูลย์นวกิจหรือที่เรารู้จักกันดีในนามของหลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต พระเกจิอาจารย์อาคมขลังสายสำเร็จลุนนั่นเองโดยหลวงปู่คำบุนั้นท่านจะนำอิ่งอ้อยที่ได้สัดส่วนตามตำรามาปลุกเสกอธิษฐานจิตรอบหนึ่งก่อนที่จะทำการลงอักขระลงด้านใต้ของอิ่งอ้อยด้วยอักขระคาถาเรียกเงินเรียกทองจากนั้นจึงปลุกเสกซ้ำเพื่อมอบให้กับลูกศิษย์ที่ต้องการ ปัจจุบันถือเป็นของดีหาอยากอีกชิ้นหนึ่งครับ

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เคงเป็นเหล็ก ของขลังที่หายากในยุคปัจจุบัน

    เคงเป็นเหล็ก ของขลังที่หายากยิ่งในยุคนี้ หลายๆคนแน่นอนว่าไม่รู้จักแน่ๆ หากไม่ได้สนใจทางด้านความเชื่อและของขลัง แต่ ของขลังชนิดนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือ คนต่างจังหวัด และ คนที่เชื่อทางด้านนี้จะรู้จักกันดี และ แท้จริงแล้ว เคงเป็นเหล็กนี่คือ รังของปลวกชนิดหนึ่ง ซึ่งหาไม่ง่ายนัก จะมีอยู่ตามยอดไม้ เช่น ต้นมะพร้าว และ ตัวเล็กกว่าปลวกธรรมดา ซึ่งความเชื่อในเรื่องจอมปลวกนั้นคนไทยต่างรู้กันดี ว่ามีอาถรรพ์ห้ามเหยียบ ห้ามข้าม หรือ ทำสิ่งไม่ดีต่อจอมปลวก และ สำหรับรังเคง ก็เช่นกัน นานครั้งจึงจะเกิดขึ้น เคงเป็นเหล็กนี้ จะต้องเป็นรังที่ร้างแล้ว มีสภาพสมบูรณ์แต่เหตุไหนก็ไม่อาจทราบได้ เคงร้างนี้ได้เปลี่ยนสภาพเป็นเหล็ก หรือ มีความแข็งกลายสภาพเป็นเหมือนก้อนหิน ก้อนเหล็ก แต่ยังสมบูรณ์มีรูทางเข้าออกเหมือนรังที่ตัวปลวกยังใช้งานอยู่นั่นเอง


    ความเชื่อสำหรับ เคงเป็นเหล็กนั่นคือ ใช้ป้องกันอันตรายจากอาวุธต่างๆ  และ อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ซึ่งในสมัยโบราณเชือกันว่านักรบจะพกติดตัวออกไปยามศึกสงคราม แม้ในปัจจุบัน ความเชื่อของ เคงเป็นเหล็กนั้น แทบไม่หลงเหลือแล้ว และ ผู้คนที่พบเห็นรังเคงหรือตัวปลวกต้นมะพร้าวนั้น ก็มักจับมาให้นก ให้ปลากิน และ ทำลายรังไปก็มี เพราะถึงแม้ว่าปล่อยไว้ก็ใช่ว่าจะกลายเป็นเหล็กทุกรังไป ดังนั้นปัจจุบันจึงไม่เห็นของขลังชนิดนี้ และ คนที่มีอยู่ก็มักเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ หรือ ได้รับเป็นมรดกตกทอดต่อๆกันมา เพราะในตำรานั้นก็ไม่กล่าวว่าต้องมีการนำไปผ่านการเข้าพิธีอะไรหรือไม่ ซึ่งจะว่าไปก็อาจจะคล้ายความเชื่อในเรื่องรังต่อ รังแตน รังผึ้ง คือ หากบ้านใดมี บ้านนั้นจะมีโชค มีลาภ นั่นคือความเชื่อโบราณ แต่ สัตว์ทั้งสามชนิดนี้ก็อันตรายต่อมนุษย์ ดังนั้น ผู้คนในเมืองจึงมักทำลายรังของสัตว์เหล่านี้หากมีขึ้นในบ้านเรือน

    ส่วน เคงเป็นเหล็กนั้น คงจะเหลือแต่ตำนานเพราะไม่มีผู้ใดกล่าวถึงมากนัก ไม่ว่าจะในตำราของขลังเล่มไหนๆ คงมีแต่คำเล่าขานกันให้ฟังว่า มีสรรพคุณทางด้านใด และ รูปเองก็มีน้อยมากไม่มีนำออกมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้กัน และ ไม่ว่าจะหายากแค่ไหน เชื่อหรือไม่ว่ายังมีคนเสาะหาของขลังชนิดนี้กันอยู่ แต่อย่างที่บอกคนส่วนใหญ่ไม่รู้ เมื่อเจอปลวกต้นมะพร้าวก็จะทำลายทิ้งเสีย หรือไม่ก็จับมาเลี้ยงนกเลี้ยงปลา โดยเฉพาะนกคุ้มที่เชื่อกันว่าต้องเลี้ยงด้วยเคง หรือ ปลวกต้นมะพร้าวเท่านั้น 

งากำจัด สุดยอดของขลังหายาก

งากำจัด ของขลังสุดอาถรรพ์ที่หายากมาก ตั้งแต่โบราณมีความเชื่อเล่าต่อกันมานานว่า งากำจัด นี้เป็นงาช้างที่หักคาต้นไม้ เป็นงาช้างตกมัน ช้างเกเรดุร้าย และ ช้างเหล่านี้มักเชื่อว่าเป็นช้างที่มีอิทธิฤทธิ์ และ งาช้างนั้นยากที่จะหลุดหรือแตกหักออกจากตัวช้างได้ง่ายๆ กล่าวคือ งากำจัดนั้นจะเกิดจากอาการที่ช้างคลั่งเอางาไล่แทงต้นไม้ แล้วปลายงาหักคาติดซึ่งจะหักเฉพาะส่วนปลายงาเท่านั้นไม่ใช่หักทั้งงา หรือ หักแบบที่เราเคยเห็นช้างงากุดปลายไม่มี และ ใช่ว่าจะพบเห็นกันได้ง่ายๆ เพราะเชื่อว่ามีเจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวา ตามป่าเขาคอยบังตาไม่ให้ใครเห็นได้ง่ายๆ นอกจากจะมีผู้มีบุญวาสนาที่มากพอ มีกรรมดีสูง และ มีบารมีสูงส่งตั้งแต่ปางก่อนมาเท่านั้นจึงจะพบเห็นได้ และ ไม่ใช่ว่าจะดึงออกมาได้เลย ต้องมีการทำพิธีเสียก่อนจึงจะนำออกมาได้ นั่นคือความเชื่อที่สืบทอดต่อๆกันมา

    อย่างที่กล่าวไว้คือ หากยากมากๆดังนั้นบางครั้งที่เราเห็นๆกันอยู่ก็อาจจะไม่ใช่ของแท้ เพราะในสมัยก่อนนั้น ผู้คนยังผูกพันกับป่าต้องเข้าป่าหาของเลี้ยงชีพ ทำไร่ทำนาตามแนวป่า หรือ ทหารเดินทัพ  หรือ พรานล่าสัตว์ และช้างในสมัยก่อนมีมาก ป่ามีมาก ดังนั้นจึงอาจจะมีการพบเห็นได้ โดยคนที่เจอต้องมีบุญและคู่ควรเท่านั้น หรือ พรานป่า เกจิ ที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้า ดังนั้นในยุคโบราณจึงสามารถหากันได้และมีความเชื่อว่าเป็นสุดยอดของขลังในทุกๆทางในการป้องกันอันตรายต่างๆ ป้องกันแม้กระทั่งคาถาอาคม หรือ ของลมเพลมพัดต่างๆ และ สร้างความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง นำความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ทั้งการงาน ค้าขาย โชคลาภ ซึ่งผู้ที่มีมักพกติดตัว และ หาผู้มีอาคมเก่งๆลงคาถากำกับเพื่อความขลัง แต่ปัจจุบันคนที่มีมักได้รับสืบทอดต่อๆกันมา เพราะปัจจุบัน ป่ามีน้อย ช้างมีน้อย คนที่รู้วิชาจริงๆก็แทบหาไม่ได้แล้ว ดังนั้นของจริงจึงน่าจะหายากด้วยเช่นกัน

    นอกจากนี้ งากำจัด ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า งากำจาย หรือ งากระเด็น ซึ่งที่มาก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน หรือ เกิดจากช้างจ่าโขลงต่อสู้กันแล้วงาหักหลุดออกมา   ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีความเชื่อในเรื่องความขลังและอาถรรพ์กันอยู่ แต่อย่างที่กล่าวคือไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ ดังนั้นก็ต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วนว่าเป็นของแท้หรือของปลอม ซึ่งไม่มีบอกไว้ว่าต้องดูอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่นั้นมักนำวัตถุที่คล้ายงาช้างนำมาทำเป็นรูปร่างต่างๆแล้วบอกกันว่าเป็นงากำจัด และมีกาปล่อยเช่าบูชาในราคาที่สูงพอสมควรด้วย

ธนบัตรขวัญถุงโภคทรัพย์เรียกเงิน

           เป็นที่ทราบกันดีว่าธนบัตรนั้นถือเป็นเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในประเทศไทยเรานั้นมีค่านิยมว่าใครมีธนบัตรมากก็ถือว่าเป็นคนรวย เป็นคนมีเงินมาก ดังนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายในยุคตั้งแต่พุทธศักราช 2500 เป็นต้นมาจึงคิดนิยมสร้างธนบัตรขวัญถุงโภคทรัพย์ขึ้นเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาได้นำติดตัวไว้ใช้งานเป็นขวัญถุง ขวัญกระเป๋าเพื่อเรียกเงินเข้ามาหรือบรรดาร้านค้า ร้านขายของทั้งหลายก็มักนำเอาธนบัตรขวัญถุงเหล่านี้ติดร้านหรือใส่กระป๋องเงินไว้ก็จะช่วยดึงดูดเงินให้เข้ามา ค้าขายดีมากขึ้นเข้าทำนองเงินต่อเงินนั่นเอง



    แต่อย่างไรก็ตามเมื่อธนบัตรประเภทนี้มีออกมาได้สักระยะหนึ่งก็มีกระแสจากคนหลายกลุ่มทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยออกมาโดยคนที่เห็นด้วยได้ให้เหตุผลว่าใช้ธนบัตรจริงเรียกเงินจริง ลงอักขระลงไปเพื่อเพิ่มความขลังจริงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วในขณะที่อีกหลายๆ คนที่ไม่เห็นด้วยกลับบอกว่าเป็นการทำให้เสียของอีกทั้งธนบัตรเหล่านั้นเป็นธนบัตรที่ถูกต้องตามกฎหมายการนำมาเขียนอะไรลงไปโดยพลการดูจะเป็นเรื่องไม่เหมาะสมรวมไปถึงธนบัตรที่ใช้จริงเหล่านั้นยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ดังนั้นการลงอักขระอะไรลงไปจึงเป็นการมิบังควรซึ่งเมื่อกระแสต่อต้านมีมากเข้าความนิยมในธนบัตรขวัญถุงโภคทรัพย์ประเภทเขียนสดจารสดจึงได้ซาความนิยมลงและเกิดการสร้างธนบัตรขวัญถุงที่มีรูปของพระเกจิอาจารย์ขึ้นมาแทนที่ดังที่เห็นกันในปัจจุบัน

    สำหรับคาถาอาคมที่ลงในธนบัตรขวัญถุงโภคทรัพย์นั้นส่วนใหญ่มักจะลงด้วยคาถาพระสีวลี คาถาโภคทรัพย์ คาถาเรียกเงิน คาถาเรียกคน และคาถาทีเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เสียเป็นส่วนใหญ่รวมไปถึงคาถาพญานกคุ้มที่เชื่อว่าจะคุ้มครองเงินตรา ข้าวของได้ และในสายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคท่านจะลงคาถาพระปัจเจกโพธิ์ล้อมรอบอีกด้วยครับ

   ในการสร้างธนบัตรขวัญถุงโภคทรัพย์นั้นในระยะแรกจะเป็นเพียงแค่การนำเอาธนบัตรมาให้ครูบาอาจารย์เสกและพกติดตัวเอาไว้เท่านั้นแต่ก็เกิดปัญหาคือลูกศิษย์ที่ได้ไปส่วนใหญ่มักจะติดไว้ในกระเป๋าหรือกระป๋องเงินแต่มักจะลืมและหยิบออกไปใช้เป็นประจำด้วยว่าไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ระบุว่าเป็นธนบัตรที่ปลุกเสกแล้วดังนั้นในยุคต่อๆ มาพระเกจิคณาจารย์ทั้งหลายจึงได้ทำการจดปากกาลงอักขระลงไปในธนบัตรเหล่านั้นเพื่อแยกแยะให้แตกต่างจากธนบัตรธรรมดาอีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเข้มขลังมากขึ้นจนทำให้ในยุคนั้นธนบัตรขวัญถุงโภคทรัพย์ที่เป็นลายมือของหลวงปู่ หลวงตาทั้งหลายระบาดแพร่หลายกันอย่างมากมาย